สะเดามีอะไรดี ขมก็ขม ทำไมหลายคนถึงติดใจ
สะเดามีอะไรดี ขมก็ขม ทำไมหลายคนถึงติดใจ
สำหรับบ้านเรา เมนูสะเดาน้ำปลาหวาน ปลาย่าง นับเป็นหนึ่งในของโปรดประจำครอบครัวเรา
และโปรดมากจนต้องหาต้นสะเดามาปลูกไว้หลังบ้าน
แม่เราปลูกสะเดามันหรือสะเดาทวายไว้สองต้น จำได้ว่าซื้อมาจากงานเกษตรแห่งชาติที่ ม.เกษตร กำแพงแสน สองต้นนี้มากพอที่จะได้ทั้งเก็บกิน เก็บแจก และเก็บขายเป็นกำๆ กำละ 10 บาท (หนักประมาณ 1.5 ขีด)
ขณะที่ตลาดขายกำละ 15-20 บาท พอถามแม่ว่าทำไมขายถูกจัง
คำตอบที่ได้คือ ขายถูกขายง่าย ยิ่งของดียิ่งขายง่าย แถมต้นทุนแม่ต่ำเพราะใช้ให้คนอื่นเก็บ แม่แค่มากำแล้วก็ฝากเค้าขาย 555
สะเดามันไม่ขมมาก เพียงแค่ต้มน้ำจนเดือด แล้วก็เทลงไปในกะละมังที่มีช่อดอกสะเดาอ่อนๆรออยู่ แล้วก็พักทิ้งไว้จนน้ำอุ่น ก็พร้อมเสิร์ฟ
หากเป็นสะเดาดำ จะมีรสขมมาก ต้องแช่น้ำต้มเดือดสองถึงสามน้ำ รสขมจึงเบาลง แต่บางคนก็ชอบขมๆ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ อย่างก๋งเรา จำได้ว่าก๋งจะไม่ต้มน้ำแช่สะเดา แต่จะเอาสะเดาไปเผาเพื่อเพิ่มความขม คิดดูสิว่าจะขมแค่ไหน
ก๋งบอกว่า ขมสิดี เพราะหวานเป็นลม ขมเป็นยา
เมื่อมีสะเดา ก็ต้องมีน้ำปลาหวาน
น้ำปลาหวานที่ขายในท้องตลาดจะปรุงด้วย น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก (บางบ้านเรียก ส้มมะขาม) และน้ำปลา เคี่ยวจนงวด รสจะหวานนำ เปรียมตาม เค็มติดปลายลิ้น และมีหอมเจียว
แต่น้ำปลาหวานสูตรของแม่ ต่างจากน้ำปลาหวานทั่วไป ตรงที่ ไม่ใส่หอมเจียว แต่ใส่น้ำพริกเผาที่ตำเองผสมลงไปด้วยเพื่อรสเผ็ด เวลาเสิร์ฟ จะโรยถั่วลิสงคั่วที่ตำพอหยาบ เพิ่มอรรถ ทีเด็ดอยู่ตรงถั่วลิสงคั่วใหม่ๆ มันหอมมากๆ ….พิมพ์ไปน้ำลายสอไป
ส่วนปลาย่าง ก็จะเป็นปลาดุกหรือปลาช่อน ปลาดุกเนื้อจะนุ่มกว่าปลาช่อน หรือบางคนก็ใช้กุ้งย่างแทน ก็อร่อยไปอีกแบบ
ย้อนไปตอนเด็กๆ เราไม่ชอบสะเดาเลย เราว่ามันขม เตี่ยกับแม่ก็บอกว่าไม่ขม และชอบบอกว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” อีกแล้ว บอกเหมือนก๋งเลย
แม้ว่ามันจะเป็นสะเดามันก็ตาม ด้วยความเป็นเด็กก็ยังคิดว่ามันขมอยู่ดี แม่เลยบอกว่าลองใส่น้ำปลาหวานมากหน่อยสิ ชอบกินถั่วก็โรยถั่วมากๆ ใส่ปลาย่างชิ้นใหญ่ๆ สะเดาที่ว่าขม มันก็ไม่ขม อร่อยขึ้นมาทันที แค่ไม่กี่คำข้าวก็หมดจาน ลุกขึ้นไปเติมข้าวเป็นประจำ
รู้ตัวอีกทีเมนูนี้ก็กลายเป็นเมนูโปรเมนูหนึ่งของเราไปเสียแล้ว
เราไม่ค่อยชอบกินสะเดาน้ำปลาหวานนอกบ้าน เพราะสะเดามีรสขมมากไป น้ำปลาหวานก็หวานอย่างเดียว ไม่มีถั่ว ไม่กลมกล่อมเหมือนสูตรของแม่
สะเดาขม สะเดามันหรือสะเดาทวาย
สะเดาเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ กิ่งเปราะ สามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ชอบที่แห้ง
เดิมทีสะเดาจะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม แต่ด้วยการปรับปรุงพันธุ์ ทำให้เราได้กินสะเดาเร็วขึ้น เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราก็ได้เริ่มกินสะเดาไปบ้างแล้ว แต่ไม่ได้เยอะมากขนาดเก็บแจกเพื่อนบ้านได้
สะเดาที่ขายในท้องตลาดมักเป็นสะเดาขม สังเกตุจากสีของช่อดอกสะเดาจะมีดีแสง ส่วนยอดของสะเดามันจะมีสีเขียวๆ มีปลายใบอ่อนเป็นสีแดงเพียงเล็กน้อย
แล้วสะเดามีดีอย่างไร
จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ทำให้เราอึ้ง
สะเดามีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก เมื่อเทียบยอดสะเดา 100 กรัม มีสารอาหารโปรตีน เส้นใย วิตามินที่จำเป็น เบต้าแคโรทีนสูงมาก สารต้านอนุมูลอิสระเพียบ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ดีงามจริงๆ
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อระวัง ด้วยเหตุที่สะเดามีโพแทสเซียมมาก ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการทานสะเดา
เมื่อมาดูที่สรรพคุณทางยา ก็ไม่น้อยหน้าเยอะมากจนอึ้ง เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
ช่วยยับยั้งการผลิตอินซูลินได้มากกว่า 50% แถมยังช่วยปรับสมดุลอาหาร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อราย ข้อนี้ผู้ป่วยมะเร็งได้เต็มๆ
ช่วยย่อยอาหาร กระตุ้นการผลิตน้ำดี ทำให้ร่างกายเราสามารถย่อยไขมันได้ดีขึ้น ใครที่มีปัญหาคลอเรสเตอรอลรีบเลย แต่ๆ อย่าเติมน้ำปลาหวานเยอะนะ เดี๋ยวจะได้ของแถมตามมา 555
ช่วยดีท็อกซืสารพิษในกระแสเลือด ทำให้เลือดเราหมุนเวียนดีขึ้น สายดีท็อกซ์จัดไป
ช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
ฯลฯ
สรรพคุณเยอะจริงๆ สมแล้วกับคำว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา
Suwanna Sayruamyat and Apai Chanthachootoe
หากท่านใดสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการกินในมุมมองเศรษฐศาสตร์ สามารถอ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ www.eatecon.com
#eatecon
อ้างอิง
https://med.mahidol.ac.th/patient_care/th/health_issue/06082015-1153-th
https://www.thairath.co.th/content/572589